Sunday, November 26, 2017

เส้นทางปืนเล็กยาวไรเฟิลจู่โจมของไทย

เส้นทางสร้างปืนเล็กยาวไรเฟิลจู่โจมแห่งชาติ มันเต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนาม จนทำให้ผู้คนต่างได้แค่คาดหวังตั้งตาคอย ตราบใดที่ความคิดของผู้คนที่ว่า ฉ้อโกงไม่เป็นไร..ถ้าตนเองได้รับประโยชน์ด้วย ไม่หมดไป ประเทศชาติก็ไม่มีทางเจริญ

แต่มาพ..นี้เริ่มจะเห็นความเป็นไปได้แบบเป็นรูปธรรม อาจจะเรียกว่า "ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา" ก็ว่าได้ แต่มันก็ยังดีกว่า "วัวหาย แล้วล้อมคอก"

ในวิกิฯ ได้แบ่งประเภทของปืนเล็กยาวได้ 5 ประเภทดังนี้
  1. ปืนเล็กยาวระบบลูกเลื่อน หรือ Bolt-action rifle เป็นประเภทของปืนเล็กยาวที่ยิงกระสุนออกไปได้เพียงทีละนัด อาศัยการงัดแล้วดึงคันรั้งลูกเลื่อนด้วยตัวผู้ใช้เอง
  2. ปืนเล็กยาวระบบกึ่งอัตโนมัติ หรือ Semi-automatic rifle เป็นประเภทของปืนเล็กยาวที่ยิงกระสุนออกไปได้ทีละนัด แต่มีกลไกที่สามารถขับปลอกกระสุนออกจากตัวปืนได้ด้วยตัวเอง (คล้ายกับปืนพกระบบกึ่งอัตโนมัติ)
  3. ปืนเล็กยาวจู่โจม หรือ Assault rifle เป็นประเภทของปืนเล็กยาวที่สามารถยิงได้ทั้งในแบบกึ่งอัตโนมัติ ซึ่งจะยิงกระสุนโจมตีเป้าหมายทีละนัด และแบบยิงกระสุนโจมตีเป้าหมายเป็นชุด
  4. ปืนเล็กยาวต่อสู้รถถัง หรือ Anti-tank rifle
  5. ปืนเล็กยาวต่อสู้ หรือ Battle rifle
สำหรับบทความเส้นทางปืนเล็กยาวของไทยนี้ จะเขียนเป็นลักษณะเส้นเวลา (timeline) เริ่มต้นย้อนอดีตไปดูกันว่าไทยเคยมีการสั่งซื้อปืนเล็กยาวอะไรกันบ้าง ไล่เรียงกันมาถึงปัจจุบัน ซึ่งคงเกี่ยวพันปืนเล็กยาวแค่ประเภทตามข้อ 1 - 3 เท่านั้น

เริ่มต้นกันที่ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 กองทัพเคยสั่งซื้อปืนเล็กยาว Steyr-Mannlicher M1888 หรือปืนเล็กยาวแบบ 33 (ปลย.33) จากประเทศออสเตรียมาใช้งานเมื่อปี พ.. 2433 
Steyr-Mannlicher M1888
แต่ไม่พอใจในประสิทธิภาพนักจึงได้มีการตั้งคณะกรรมการออกแบบโดยยึดรูปแบบปืนเล็กยาวSwedish Mauser M1894ขนาด 6.5×55 มม.ของประเทศสวีเดนเป็นหลัก และด้วยการที่ปืนเล็กยาวรุ่นนี้ใช้ระบบลูกเลื่อนแบบ Mauser จึงมีชื่อเรียกภาษาอังกฤษด้วยว่า"Siamese Mauser M1902/M1903" หรือ ปืนเล็กยาวแบบ 45 (ปลย.45) หรือ ปืน ร..121 เป็นปืนเล็กยาวแบบลูกเลื่อนบริหารกลไกด้วยมือ ใช้กระสุนขนาด 8x50r แบบหัวป้าน (Siamese Mauser Type 45) เข้าประจำการเมื่อปี พ.. 2445-2446

นอกจากนี้ยังมีปืนอีกรุ่นที่มีคุณลักษณะเหมือนปืนเล็กยาวแบบ 45 แต่สั้นกว่า นั่นคือ ปืนเล็กสั้น 47 (ปลส.47) หรือ ปืน ร..123
ปลส.47 และ 47/66

ในปีพ..2463 (1920) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงสั่งซื้อ ปืนพระราม 6 เพื่อใช้ในกิจการกองเสือป่าจากบริษัท B.S.A.Co. (BIRMINGHAM SMALL ARMS COMPANY) ประเทศอังกฤษ
ปืนพระราม 6

ต่อมาในปีพ..2466 (1923) ได้มีการสั่งซื้อปืนอาริซากะ (Arisaka) หรือ ปืนเล็กยาวแบบ 66 (ปลย.66) ซึ่งเป็นปืน Mauser M1923 แต่ผลิตโดยญี่ปุ่น

ตรงจุดนี้ทำให้หลายคนเข้าใจว่าปืน ปลย.66 คือปืน Arisaka Type 38 แต่มีคนเล่าว่าไทยเราซื้อแบบปืนเมาเซอร์มาแล้วจ้างญี่ปุ่นผลิต 

ดังนั้นปืน ปลย.66 จึงแตกต่างจาก Type 38 ที่ใช้กระสุนขนาด 6.5x50sr แต่ของไทยเป็นขนาด 8x52r Siamese Mauser Type 66 ซึ่งเป็นกระสุนแบบหัวแหลม (เปลี่ยนจาก 8x50r หัวป้าน ของ Siamese Mauser Type 45) เพื่อไม่ให้ปืนติดขัดเวลาป้อนกระสุนเข้ารังเพลิง
ซ้าย 8x50r หัวป้าน / ขวา 8x52r หัวแหลม

ปืนเล็กยาวที่ซื้อมาก่อนหน้านี้อย่างปลย. 45 และปลส. 47 จึงได้นำมาคว้านรังเพลิงเพื่อใช้กับกระสุนใหม่นี้ด้วย และเรียกชื่อใหม่ว่า ปลย. 45/66 กับ ปลส. 47/66

ืนกระบอกต่อมานึ่ถึงจะเป็นของญี่ปุ่นแท้ๆ คือ Arisaka Type 38 ขนาด 6.5x50sr หรือ ปืนเล็กยาวแบบ 83 (ปลย.83) และก็ยังมีรุ่นสั้นด้วย
Arisaka Type 38
ในช่วงที่ไทยกำลังทำสงครามกับฝรั่งเศสในอินโดจีนในการเรียกร้องดินแดนคืนจากฝรั่งเศสญี่ปุ่นได้สนับสนุนปืนไรเฟิลแบบ 38 รุ่นมาตรฐานมาให้กับกองทัพไทย แต่ปืนไรเฟิลที่ส่งมาให้กองทัพไทยนั้นจะไม่มีตราดอกเบญจมาศเครื่องหมายจักรพรรดิของญี่ปุ่น รหัสเรียกในหน่วยงานราชการคือปืนเล็กยาวแบบ 83
ภายหลังไทยได้นำปืน ปลย.83 มาตัดขนาดลำกล้องและพานท้ายให้สั้นลงกลายเป็น ปืนเล็กสั้นแบบ 83 (ปลส.83)

ต่อมาก็มีการเปลี่ยนลำกล้องให้เป็นขนาด 7.62×63มม. คือขนาดเดียวกับปืนไรเฟิล M1 Garand (ปลยบ.88) ของสหรัฐ และเรียกปืนพวกนี้ว่า ปืนเล็กยาวแบบ 83/88 (ปลย.83/88)

นอกจากนี้ยังมีปืนเล็กสั้นในตระกูลเดียวกันนี้อีกกระบอกคือดัดแปลงจากปลย.83 เรียกว่า ปืนเล็กสั้นแบบ 91 (ปลส.91)

ปลส.91 ผลิตโดยกรมสรรพาวุธไทยภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นการนำปืนแบบ 83 มาตัดลำกล้องเพื่อใช้เป็นปืนเล็กสั้นสำหรับตำรวจไทยในปีพุทธศักราช 2491 ใช้กระสุนขนาด 6.5x50sr ดั้งเดิมของญี่ปุ่น บนตัวปืนจะมีตราเครื่องหมายของตำรวจติดอยู่ และก้านลูกเลื่อนบ้างก็ถูกทำให้งอลงคล้าย M1 carbine บ้างก็ไม่งอ

ลำดับต่อไปคือปืนของสหรัฐอเมริกาที่มอบให้กับกองทัพ
  • M1 Carbine ขนาด 7.62มม. หรือ ปืนเล็กสั้นบรรจุเองแบบ 87 (ปสบ.87) และ
  • M1 Garand ขนาด 7.62×63มม. หรือ ปืนเล็กยาวบรรจุเองแบบ 88 (ปลยบ.88)
ืน M1าร์บิน ไม่ใช่รุ่นสั้นของปืน M1 กาแรนด์ เพราะปืนทั้งสองกระบอกแตกต่างกัน รวมทั้งขนาดกระสุนก็ต่างกัน แต่เนื่องจากปืนทั้งสองกระบอกต่างก็เป็นปืนรุ่นแรกของประเภทของมัน ทำให้ได้รหัส M1 เหมือนกัน

และหลังจากที่ปืน ปสบ.87 และ ปลยบ.88 ปลดประจำการไป ก็ถึงยุคของปืนที่เป็นตำนานของกองทัพอีกกระบอกหนึ่งเข้าประจำการในปีพ..2511(1968) นั่นก็คือปืนขนาด 5.56x45มม. HK 33 หรือ ปืนเล็กยาวแบบ 11 (ปลย.11) ของบ. Heckler & Koch (H&K) ประเทศเยอรมัน ซึ่งกองทัพได้ซื้อลิขสิทธ์มาเพื่อผลิตเองในประเทศอีกด้วย

สำหรับปืนเล็กยาวจู่โจมกระบอกล่าสุดที่กองทัพบกซื้อมาประจำการคือปืนขนาด 5.56x45มม. จากประเทศอิสราเอล TAR-21 หรือ ปืนเล็กยาวแบบ 50 (ปลย.50)

ล่เรียงประวัติปืนเล็กยาวกันมาแล้ว จะเห็นว่ามีเพียงปืนกระบอกเดียวที่กองทัพผลิตเองทั้งกระบอกโดยซื้อลิขสิทธิ์มา นอกนั้นเป็นการซื้อสำเร็จ ไม่ก็จ้างเขาผลิต หรือไม่ก็ดัดแปลงเอง มันทำให้เกิดคำถามที่คาใจคนไทยว่าในเมื่อเราเคยซื้อลิขสิทธิ์ปืนไรเฟิลจู่โจมมาสร้าง แล้วเหตุใดจนป่านนี้เราจึงยังไม่สามารถพัฒนาสร้างปืนของเราเอง เหมือนอย่างเพื่อนบ้านในอาเซียน สิงคโปร์ พม่า อินโดนีเซีย หรือ เกาหลีใต้

โดยล่าสุดเมื่อปีพ..2557 ประเทศเวียดนามได้ซื้อลิขสิทธิ์ปืนอิสราเอล Galil ACE-31&32 ไปผลิตในประเทศ

คำตอบที่ดีที่สุดก็คือกองทัพก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ หลังจากเกิดกรณีจัดหาอาวุธปืนปีพ.ศ.2550 ที่หลายชาติไม่ยอมขายอาวุธให้ จึงเริ่มทำการศึกษาวิจัยเรื่องนี้อย่างจริงจังในตลอดช่วงระยะหลายๆ ปีที่ผ่านมา แต่ก็อย่างที่เกริ่นข้างต้น หนทางมันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ มันมีแต่หนามกุหลาบขวากขวางไปหมด ลองไปดูเส้นเวลาของการศึกษาการสร้างปืนไรเฟิลจู่โจมของไทยกัน

จากเท่าที่ขุดค้นดูการศึกษาวิจัยในเรื่องปืนเล็กยาวของไทย ซึ่งอาจจะมีการศึกษาวิจัยก่อนหน้านี้อีกก็เป็นได้ แต่เท่าที่ขุดพบจากกองวิชาวิศวกรรมสรรพาวุธ (กวส.สกศ.รร.จปร.) ก็คือ
  • ในปีพ..2551 กองวิชาวิศวกรรมสรรพาวุธ (กวส.สกศ.รร.จปร.) ได้ขอรับการสนับสนุนงบประมาณจาก วท.กห. ทำโครงการวิจัยอาจารย์ เรื่องการศึกษาความเป็นไปได้ในการผลิตปืนเล็กยาวในประเทศไทย ได้รับอนุมัติหลักการให้ดำเนินการในปีงบประมาณ 2553 แต่ไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ
  • บัญชีรายชื่อโครงการวิจัยของ นนร. ประจำปี 2551
    • ลำดับที่ 5 การศึกษาความพึงพอใจในคุณลักษระของปืนเล็กยาวที่เหมาะสมกับทหารไทย ; กรณีศึกษา นนร.รร.จปร.
    • ลำดับที่ 11 การศึกษาหาอายุการใช้งานของ ปลย.เอ็ม16 เอ1
  • บัญชีรายชื่อโครงการวิจัยของ นนร. ประจำปี 2552
    • ลำดับที่ 6 ศึกษาเปรียบเทียบกลไกการทำงานและโครงสร้างของปืน AK47 กับปืน M16
    • ลำดับที่ 7 ศึกษาเปรียบเทียบกลไกการทำงานและโครงสร้างของปืน HK33 กัับปืน AK47
    • ลำดับที่ 13 ศึกษาเปรียบเทียบกลไกการทำงานและโครงสร้างของปืน TAR21 กับปืน M16

ในบัญชีรายชื่อโครงการวิจัยของ นนร. มีตั้งแต่ปี 2551- 2555 แต่หลังจากปื 2552 ก็ไม่มีการศึกษาที่เกี่ยวกับปืนเล็กยาวอีกเลย และั้งหมดข้างต้นนี้คือเท่าที่ขุดค้นได้มา แสดงให้ถึงความพยายามในการรวบรวมข้อมูลเพื่อนำไปหาข้อสรุปในคุณสมบัติของปืนเล็กยาวที่เหมาะกับทหารไทย

แต่ในส่วนของหน่ายงานอื่นก็มีการศึกษาเกี่ยวกับปืนเล็กยาวให้เห็นกันอีก คือในปีพ.. 2554 จากนิตยสารของ DTI เรื่อง การศึกษาขนาดของเกลียวลำกล้องที่เหมาะสมกับโครงการวิจัยพัฒนาต้นแบบอาวุธปืนเล็กยาว..จากปืน M16A1

ผลที่ได้จากการศึกษาวิจัยชิ้นนี้คือ ความแม่นยำและระยะยิงหวังผลขึ้นอยู่กันเสถียรภาพของการหมุนของลูกกระสุน โดยขนาดของเกลียวลำกล้องจะส่งผลต่อเสถียรภาพการหมุน และพบว่าขนาดของเกลียวลำกล้องที่เหมาะสมสำหรับปืนที่ได้รับการพัฒนาตามโครงการวิจัยของสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศคือ ขนาด 9 นิ้ว/รอบ

ในปีพ.ศ.2559 สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ได้มีประกาศสำนักงานฯ เรื่อง การรับข้อเสนอโครงการทุนพัฒนาศักยภาพนักวิจัยด้านยุทโธปกรณ์เพื่อเพิ่มศักยภาพของกองทัพและการป้องกันประเทศ ประจำปีงบประมาณ 2560 โดยในเอกสารแนบท้ายประกาศ
กลุ่มที่ 4 ระดับเทคโนโลยี 1 วิจัยและพัฒนาผลิตอาวุธประจำกายภายในประเทศ
กรอบโจทย์วิจัย 
  • วิจัยและพัฒนาปืนเล็กยาว/ปืนซุ่มยิง
  • พัฒนาชิ้นส่วนซ่อมของปืนเล็กยาว/ปืนซุ่มยิง
ผลที่ได้คือเดือนกันยายนปีนี้ ได้มีการแสดงผลงานของสถาบันพระจอมเกล้าพระนครเหนือที่สามารถสร้างปืนซุ่มยิงแบบลูกเลื่อน Bolt-action ขนาด .338 นิ้ว สำหรับนักทำลายใต้น้ำจู่โจม


และเส้นเวลาเส้นสุดท้ายก็คือปีนี้(..2560) ประกาศสำนักงานฯ เรื่อง การรับข้อเสนอโครงการทุนพัฒนาศักยภาพนักวิจัยด้านยุทโธปกรณ์เพื่อเพิ่มศักยภาพของกองทัพและการป้องกันประเทศ ประจำปีงบประมาณ 2561 โดยในเอกสารแนบท้ายประกาศ

กลุ่มที่ 1 ระบบอาวุธทางบก ลำดับ 7 วิจัยออกแบบและพัฒนาปืนเล็กยาวขนาด 5.56 มม.
กรอบโจทย์วิจัย ออกแบบพัฒนาและทดสอบปืนเล็กยาว ใช้ยิงกระสุนขนาด 5.56 มม. มาตรฐาน NATO
  • ลำกล้องปืนยาว 16 นิ้ว แบบ 6 เกลียว หมุนครบรอบที่ระยะ 9 นิ้ว ภายในรูลำกล้องและรังเพลิงเป็นแบบชุดแข็ง (HARD CHROME) ทำงานด้วยแก็ส ลูกเลื่อนหมุนตัวขัดกลอน
  • ้ำหนักปืนไม่รวมซองกระสุนไม่เกิน 3150 กรัม
ภาพประกอบไม่เกี่ยวกับเนื้อหา
และแล้วสิ่งที่ทุกคนรอคอยก็เริ่มเห็นเป็นรูปธรรมขึ้นมาแล้ว ตอนนี้ก็คงเพียงแค่รอดูว่ารูปร่างหน้าของปืนเล็กยาวแห่งชาติของไทยจะออกมาเป็นอย่างไร จากคุณสมบัติที่เป็นโจทย์ให้มา หน้าตาก็คงไม่พ้นปืน AR-15 หรือจะออกมาเป็นแบบ bullpup คอยลุ้นกันต่อไปว่าจะสำเร็จเมื่อใด
แบบลูกเลื่อนขัดกลอน

อัพเดท 2 ธันวาคม 2560

ขุดไปพบบล็อกสร้างปืนไรเฟิล AR-15 ด้วยตนเอง ก็เลยลากเอามาประกอบท้ายบทความเพื่อเป็นแนวทางให้กับสถาบันที่จะร่วมพัฒนาปืนเล็กยาวไรเฟิลจู่โจมแห่งชาติ อีกทั้งเพื่อแสดงให้เห็นว่าการพัฒนามันไม่ได้ยาก คู่มือคำแนะนำต่างๆ มีมากมายในอินเตอร์เน็ท อยู่แค่เพียงว่าจะลงมือทำกันรึเปล่า
http://blog.cheaperthandirt.com/definitive-guide-building-ar-15/

No comments:

Post a Comment