เฟซบุ้คเพจ

เพิ่มเติมอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับช่องสื่อสารผ่านเฟสบุค https://www.facebook.com/monsoonphotonewspage/ ด้วยข่าวสั้นจากสำนักข่าวต่างๆ ทั่วโลก รวดเร็วทันเหตุการณ์

Monday, October 23, 2017

โครงการ AMCA เครื่องบินยุคที่ห้าของอินเดีย

สืบเนื่องจากข่าวแรกที่มีออกมาว่ารัสเซียเลื่อนการผลิตเครื่องบินโครงการ Su-57(PAK-FA) ออกไป และต่อมาก็เจอข่าวอิีกชิ้นคือ อินเดียจะถอนตัวจากโครงการ PAK-FA เพราะไม่พอใจในประสิทธิภาพของเครื่องบิน ส่วนทางรัสเซียก็บอกว่าอินเดียไม่ชำระเงินร่วมลงทุนจำนวน 6.7 พันล้านดอลลาร์
PAK-FA / FGFA / T-50 / Su-57
อันดับแรกก็คงต้องปูพื้นฐานโครงการ PAK-FA ให้กับคนที่ไม่ได้ติดตามข่าวสารในเรื่องนี้ได้มีความเข้าใจกันเสียก่อน เพื่อจะได้ไม่สับสนในชื่อเรียกต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง คือ T-50, Su-57 และ FGFA

โครงการนี้เป็นการร่วมมือกันระหว่างรัสเซียและอินเดียในการพัฒนาเครื่องบินยุคที่ห้า เกิดขึ้นหลังจากรัสเซียและอินเดียประสบความสำเร็จในการร่วมมือกันพัฒนาจรวด BrahMos ในต้นปีพ..2550(2007)
และในช่วงปลายปีเดียวกันบริษัท Sukhoi ของรัสเซียก็ประกาศว่าจะร่วมมือกับอินเดียพัฒนาเครื่องบินขับไล่ยุคที่ห้า ในสัดส่วนห้าสิบต่อห้าสิบ ซึ่งเครื่องบินของรัสเซียจะใช้ชื่อเรียกขานว่า PAK-FA และเครื่องบินของอินเดียจะมีชื่อเรียกขานว่า FGFA
จรวด Brahmos ที่อินเดียร่วมมือกับรัสเซียพัฒนา
ช่วงแรกทั้งสองประเทศตกลงจ่ายค่าออกแบบประเทศละ $295 ล้านดอลลาร์ ต่อมาหลังจากรัสเซียสร้างเครื่องบินต้นแบบ PAK-FA ขึ้นมาแล้วก็เปลี่ยนขึ้นเครื่องบินเป็น T-50 และหลังจากทดสอบบินจนเป็นที่พอใจ(T-50-11 เลขเครื่อง 511)ก็เปลี่ยนชือเครื่องบินอีกครั้งเป็น Su-57 ซึ่งการเปลี่ยนชื่อเป็น Su-57 นั้นก็หมายความว่าเครื่องบินทดสอบเสร็จสิ้นแล้วพร้อมจะเข้าสู่สายการผลิต

ณ จุดนี้ทางฝ่ายรัสเซียก็ทวงถามอินเดียที่ไม่ยอมลงนามในสัญญาขั้นสุดท้ายและไม่ยอมชำระเงินร่วมลงทุนจำนวน6.7 พันล้านดอลาร์ (ถ้านับรวมค่าออกแบบ $295 ล้านดอลลาร์ที่อินเดียจ่ายไปแล้ว ก็จะรวมได้เป็นราวเจ็ดพันล้านดอลลาร์)

เหตุการณ์ไม่ยอมลงนามในสัญญาขั้นสุดท้ายกับรัสเซีย ทำให้ย้อนกลับไปคิดถึงกรณีเครื่องบิน Rafale ของฝรั่งเศส ในโครงการ MRCA – Medium Multi-Role Combat Aircraft ที่ป่านนี้ก็ยังไม่ลงนามเหมือนกัน


เครื่องบินขับไล่ยุคที่ห้า FGFA ของอินเดียกำหนดเดิมคือจะเข้าประจำการในปีพ..2558(2015) แต่ในปีพ..2555(2012) รัฐมนตรีกลาโหมของอินเดียประกาศความล่าช้าของโครงการออกไปสองปีเป็นปีพ..2560(2017) แต่รัฐมนตรีกระทรวงพัฒนาแรงงานได้แถลงต่อรัฐสภาว่าเครื่องบิน PAK-FA จะผ่านการรับรองฯ และเข้าสู่สายการผลิตในปีพ..2562(2019) เพราะเครื่องบินต้องปรับปรุงจากรุ่นของรัสเซียให้ตรงตามความต้องการของอินเดีย(ซึ่งคาดว่าต้องใช้เวลาราวสองปี)

โดยเครื่องบิน FGFA ของอินเดียนั้นต้องแก้ไขเครื่องบิน PAK-FA จำนวนสี่สิบรายการ รวมทั้งเครื่องยนต์ อัตราการบรรทุกอาวุธ และพิสัยบิน

ความจริงจะเป็นอย่างไร เวลาจะเป็นคนเปิดเผยออกมาเอง สำหรับเราคงจะมาพูดคุยกันต่อว่าหากอินเดียต้องการเครื่องบินยุคที่ห้าจริงๆ จะทำอย่างไร

ถ้าอินเดียถอนตัวจากโครงการ Su-57 และหากเกิดต้องการเครื่องบินยุคที่ห้า เข้าประจำการจะหาเครื่องบินจากที่ไหน
J20 ของจีน

แผนแรกคือมองหาตัวเลือกเครื่องบินขับไล่ยุคที่ห้าที่เหลือ ซึ่งก็มี J-20 ของจีน แต่อินเดียคงไม่เลือกซื้อแน่นอน เพราะหากอินเดียรบกับจีน จะเอาอะไหล่ที่ไหนมาซ่อมบำรุง
F-35 ของสหรัฐฯ
ตัวเลือกสุดท้ายก็คงไม่พ้นเครื่องบิน F-35 ของสหรัฐฯ เพราะโครงการฯ อื่นอย่างบ. ATD-X ของญี่ปุน บ.TFX ของตุรกี และบ. KF-X ของเกาหลีใต้ต่างก็กำลังพัฒนากันอยู่
ATD-X ของญ๊่ปุ่น

แต่อินเดียก็มีแผนสอง สำรองไว้แล้วนั่นคือโครงการ Advanced Medium Combat Aircraft – AMCA ของอินเดียเอง ที่มีกำหนดบินครั้งแรกของเครืองบินต้นแบบในราวปีพ..2568(2025)

และด้วยโครงการ AMCA ของอินเดียนี้เอง ทำให้คาดเดากันว่าการที่อินเดียตกลงร่วมมือกับรัสเซียในโครงการ PAK-FA ก็เพือ่ต้องการเทคโนโลยีเอามาช่วยในการสร้าง AMCA เพราะเครื่องบินลำก่อนหน้านี้ที่อินเดียสร้างเอง คือ Tejas ใช้เวลาราวสามสิบปีในการพัฒนา แถมกองทัพเรืออินเดียยกเลิกแผนจัดหาเข้าประจำการ
Tejas ต้นแบบของ AMCA
ดังนั้นเงื่อนไขหนึ่งของอินเดียยื่นต่อรัสเซียในการลงนามในสัญญาขั้นสุดท้ายและชำระเงินร่วมลงทุนในโครงการ PAK-FA คือรัสเซียต้องให้ source code รวมถืงการถ่ายทอดเทคโนโลยีอย่างเต็มรูปแบบแก่อินเดีย และช่วยพัฒนาเครื่องบิน AMCA

ั้งนี้เพราะขนาดเครื่องบินรบยุคที่สามอินเดียยังเวลาพัฒนาถึงสามสิบปี แล้วเครื่องบินยุคที่ห้าจะใข้เวลากี่ปีในการพัฒนาหากปราศจากการถ่ายทอดเทคโนโลยี

แต่ในระหว่างอินเดียร่วมโครงการเครื่องบินยุคที่ห้า PAK-FA กับรััสเซีย อินเดียก็ดำเนินโครงการ AMCA ควบคุมไปด้วย ผลพ่วงที่ได้เทคโนโยลีจากโครงการ PAK-FA คือโครงการ AMCA คืบหน้าไปมากเร็วกว่าแผนที่กำหนดไว้

่ายรัสเซียก็ได้ชี้ให้เห็นถึงการนำเทคโนโลยีจากรัสเซียไปใช้ในการพัฒนาเครื่องบิน AMCA ั้งแต่การออกแบบจากครั้งแรกที่ใช้เครื่องบิน Tejas เป็นพื้นฐาน ปีกทรงเกือบเดลต้า เครื่องยนต์เดียว แพนหางดิ่งเดี่ยว ไร้คุณสมบัติล่องหน ไปเป็นปีกเล็กลง สองเครื่องยนต์ แพนหางดิ่งคู่ และเพิ่มความล่องหน

อกจากนี้เทคโนโลยีของเครื่องยนต์เจ็ทที่มีในเครื่องบิน Su-57 และ Su-35 ก็ปรากฏในการออกแบบเครื่องยนต์ของ AMCA

ดังนั้นโครงการ AMCA อาจจะไม่เป็นดังเช่นโครงการ Tejas นื่องจากอินเดียได้ความรู้จากโครงการ PAK-FA ของรัสเซียรวมทั้งแสวงหาเทคโนโลยีจากแหล่งอื่นๆ อาจทำให้กำหนดบินครั้งแรกของบ. AMCA เร็วขึ้นกว่าแผนที่วางไว้

ข้อมูลด้านอื่นเพิ่มเติมของเครื่องบิน AMCA ในส่วนของเรด้าห์ เรด้าห์ AESA ที่อินเดียใช้อยู่ในเครื่องบินเบา Tejas เป็นของอิสราเอล แต่อินเดียก็ได้พัฒนาเรด้าห์ AESA ของตนเองที่ใช้ GaN – Gallium-Nitride เป็นเซมิคอนดักเตอร์มาตั้งแต่ปีพ..2555(2012)

ส่วนเครื่องยนต์ของเครื่องบิน AMCA จะใช้เครื่องยนต์ที่ผลิตเองภายในประเทศคือ Kaveri K9 หรืออาจจะเป็นรุ่น K10 ซึ่งกำลังพัฒนากันอยู่โดยมีบริษัท GE ของอเมริกา บริษัท Rolls Royce ของอังกฤษ และบริษัท SNECMA ของฝรั่งเศส เสนอให้ช่วยเหลือ
Kaveri K9 engine

เมือต้นปีนี้เดือนกุมภาพันธ์บริษัท GE ตกลงที่จะถ่ายทอดเทคโนโลยีของเครื่องยนต์ F-414 ครึ่งหนึ่งให้แก่อินเดีย รวมถึงมีข่าวออกมาว่าพบเทคโนโลยี three-dimensional thrust vecotr engine ของรัสเซียที่มีเฉพาะในเครื่องยนต์ของ Su-57 และ Su-35 เท่านั้น แต่ก็ไปอยู่ในการออกแบบเครื่องยนต์ของ Kaveri ด้วย


ุดท้ายเครื่องบิน AMCA ของอินเดียจะออกมเป็นอย่างไร คงต้องจับตาดูกันตอ่ไป เพราะเครื่องต้นแบบจะเริ่มลงมือกันในปีพ..2562(2019)

No comments:

Post a Comment