Friday, January 6, 2017

วิพากษ์สหรัฐฯ 2

วันนี้มาว่าต่อกันในเรื่อง ความประมาท และ ความผิดพลาด ของสหรัฐฯ ทำให้เกิดความเสื่อมถอยในอำนาจ จากบทความก่อนเมื่อปลายปีที่แล้ว (http://monsoonphotonews.blogspot.com/2016/12/1.html)


จากบทความครั้งก่อน จบลงตรงการวิเคราะห์ปฏิกิริยาของรัสเซียต่อการที่สหรัฐฯ ขับนักการฑูตจำนวน 35 คน ซึ่งรัสเซียไม่ได้ตอบโต้ด้วยการขับไล่นักการฑูตสหรัฐฯ บ้าง นับเป็นการประพฤติปฏิบัติที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับเช่นที่เคยเกิดขึ้นในอดีต

ประเด็นที่รัสเซียเข้าแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งนี้ นับเป็นความประมาทและผิดพลาดอย่างร้ายแรงอีกครั้งหนึ่งนับจากวิกฤตการณ์คิวบา พ.ศ.2505 และโศกนาฏกรรมวันที่ 11 กันยาทมิฬ (September 11) พ.ศ.2544

ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองและในช่วงยุคสงครามเย็น สหรัฐฯ เป็นฝ่ายแทรกแซงการเมืองของประเทศต่างๆ ทั่วโลกมาโดยตลอด แต่ครั้งนี้กลับเป็นฝ่ายโดนกระทำเข้าเสียเอง และไม่รู้ตัวจนกระทั่งผลการเลือกตั้งฯ ออกมาแล้ว

สำหรับผลกระทบที่ตามมาน้้นเสียหายมากมายเกินกว่าจะคาดคิด ทั้งนี้ช่วงระหว่างการหาเสียงชิงชัยตำแหน่งประธานธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ นายทรัมป์ไม่เคยนำเสนอนโยบายต่างประเทศที่เป็นปฏิปักษ์กับรัสเซีย แถมยังพูดยกย่องประธานาธิบดีปูตินของรัสเซียด้วยซ้ำไป

ณ จุดนี้ฝ่ายรัสเซียย่อมต้องการให้นายทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง เพราะนโยบายของนายทรัมป์ต้องการปิดฐานทัพอเมริกาในต่างประเทศ และนำกำลังทหารกลับมาปกป้องประเทศ คือเปลี่ยนยุทธศาสตร์จากป้องกันในเชิงรุก มาเป็นยุทธศาสตร์ตั้งรับแบบปิดประตูตายในบ้าน ซึ่งจะทำให้ศักยภาพอำนาจทางทหารของสหรัฐฯ ถึงจุดตกต่ำจนอ่อนแอ อีกทั้งสมดุลอำนาจทหารภูมิภาคต่างๆ ของโลกก็จะเสียสมดุลไปกันหมด

มาพูดประเด็นส่วนตัวนายทรัมป์กันก่อน ประธานาธิบดีคนใหม่คนที่สี่สิบห้าของสหรัฐฯ คนนี้มีพื้นฐานมาจากนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป็นนักการเมืองหลายหลากพรรค(ย้ายไปมาและยังเคยไร้สังกัดแบบพรรคอิสระ) เป็นนักทีวีรายการส่วนตัว แม้ว่าช่วงวัยเด็กจะถูกไปเรียนโรงเรียนทหารนิวยอร์คเพื่อสร้างบุคลิกภาพเชิงบวก แต่ก็เขาเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยสาขาอสังหาริมทรัพย์ และไม่เคยอาสาหรือถูกคัดเลือกเป็นทหารเลย


ดังนั้นสายอาชีพของเขาจึงมาจากนักธุรกิจล้วนๆ ไม่มีประสบการ์ทางทหารอย่างแท้จริงแม้แต่น้อย เมื่อเขาได้รับชัยชนะจากผลการเลือกตั้งประธานาธิบดี เขาก็ประกาศว่าจะยกเลิกโครงการเครื่องบินประจำตำแหน่งประธานาธิบดีลำใหม่ ที่งบประมาณบานปลายไปเป็นกว่า $4 พันล้านดอลล่าร์ รวมทั้งจะยกเลิกโครงการ Joint Strike Fighter F-35 Lightning II ที่งบประมาณบานปลายเช่นกัน

นอกจากนี้นายทรัมป์ยังได้ยกเลิกการประชุมพบกับบรรดานายทหารผู้นำเหล่าทัพต่างๆ ของสหรัฐฯ ออกไป การกระทำของเขาแสดงให้เห็นถึงการเป็นปรปักษ์กับสายอุตสาหกรรมหนักอย่างชัดเจน แม้จะอ้างเหตุผลของประหยัดงบประมาณ แต่ในสายอาชีพของเขาเองด้านอสังหาริมทรัพย์

นายทรัมป์ที่ใช้นโยบายหาเสียง "สร้างอเมริกา ให้ยิ่งใหญ่อีกครั้ง" สร้างงาน สร้างเม็ดเงิน สร้างความอยู่ดีกินดีให้กับประชาชน(ผิวขาว) 
เมื่อต้นเดือนธันวาคม พ.ศ.2559 นายทรัมป์ก็เพิ่งจะซื้อโรงงานในรัฐอินเดียน่า และมีแผนที่จะแยกส่วนโรงงานขายทิ้ง ลอยแพคนงาน ย้ายไปเปิดโรงงานในประเทศเพื่อนบ้าน แม็กซิโก้

นอกจากนี้นายทรัมป์ยังได้ต่อโทรศัพท์สายตรงไปหาผู้นำประเทศต่างๆ ที่เขามีโครงการอสังหาริมทรัพย์อยู่ ซึ่งเป็นการผิดมารยาททางการเมือง แม้จะไม่มีรายละเอียดของการพูดคุย แต่สื่อมวลชนและนักวิเคราะห์การเมืองต่างก็มองไปในทิศทางเดียวกันคือประเด็นของผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest)

นี่แหละคือสิ่งที่รัสเซียต้องการ ประธานาธิบดีที่จะทำให้สหรัฐฯ ไม่เป็นปรปักษ์กับเขา นายปูตินประธานาธิบดีของรัสเซียเป็นนักการเมืองที่เคยเป็น KGB มาก่อนและมีเป้าหมายที่จะทำให้ประเทศรัสเซียเป็นมหาอำนาจอีกครั้งภายหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ.2534


ดังนั้นการที่นายทรัมป์ชนะการเลือกตั้งจะมีแต่ประโยชน์แก่รัสเซีย เนื่อง่จากนายทรัมป์ต้องไม่กล้าเสี่ยงทำสงครามใดๆ เพราะจะกระทบต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของเขาที่ลงทุนไว้ทั่วโลก ส่วนปุ่มคำสั่งปล่อยอาวุธนิวเคลียร์ในมือของเขา ก็คงมีไว้สำหรับใช้แสวงหาประโยชน์กับประเทศที่ไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ แต่คงไม่กล้าเสี่ยงใช้กับมหาอำนาจต่างๆ

เพื่อสนับสนุนแนวคิดข้างต้น จึงขอตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนเมื่อเร็วๆนี้ก็คือ เมื่อกลางเดือนธันวาคม พ.ศ.2559 จีนได้ยึดโดรนสำรวจใต้น้ำของสหรัฐฯ จากในน่านน้ำสากล นายทรัมป์ได้กล่าวว่า "ถ้าจีนอยากได้ ก็ให้เขาไป"

แม้ว่านายทรัมป์จะต้องสละตำแหน่งต่างๆ ในอาณาจักรธุรกิจของเขา ก็เป็นเพียงการสละทางอักษรเท่านั้น แต่พฤติกรรมและการปฏิบัติของเขายังส่อให้เห็นถึงการแสวงหาประโยชน์เพื่อธุรกิจของเขาอย่างชัดแจ้ง
ประโยคแรกมันแปลกๆ นะถ้านำมารวมกับประโยคหลัง
ด้วยเหตุนี้ รัสเซียจึงไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้กับการขับนักการฑูตรัสเซีย 35 คน อันเป็นการไม่ปฏิเสธในกระทำ อีกทั้งแสดงให้นายทรัมป์ได้รับทราบเพื่อเป็นบุญคุณและอำนาจต่อรองในภายภาคหน้า
ขอสรุปประเด็นให้เห็นชัดๆ คือ นักการทหารพร้อมที่จะสละทุกสิ่งเพื่อปกป้องชาติ แต่นักธุรกิจพร้อมจะสละทุกสิ่งเพื่อปกป้องผลประโยชน์
ผลกระทบอื่นๆ จากการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้ เช่น แต่งตั้งผู้คนเข้าดำรงตำแหน่งต่างๆ ในคณะรัฐบาลใหม่จะขอข้ามไป เพราะในเรื่องนี้ประเทศไทยเคยได้รับบทเรียนมาแล้ว

แต่จะย้อนกลับมากล่าวในเรื่องของความเสื่อมถอยของอำนาจทางทหารสหรัฐฯ  ในประเทศที่เคยเป็นพันธมิตรที่เหนียวแน่นกับอเมริกา

เริ่มกันที่ประเทศไทยก่อนเลย ในอดีตอาวุธยุทโธปกรณ์ในกองทัพส่วนมากเกือบจะทั้งหมดสั่งซื้อจากอเมริกา
  • กองทัพอากาศ เครื่องบินรบหลักต่างซื้อหรือรับความช่วยเหลือมาจากสหรัฐฯ จวบจนปัจจุบันเครื่องบิน JAS-39 Gripen ของสวีเดน อาจจะกลายเป็นเครื่องบินรบหลักในอนาคต
  • กองทัพบก ก็เช่นเดียวกันใช้รถถังรบหลักจากสหรัฐฯ มาตลอด จวบจนปัจจุบัน สั่งซื้อ T-84 Oplot จากยูเครน และ VT-4 จากจีน
    สำหรับเครื่องบินปีกหมุน ในปัจจุบันเฮลิคอปเตอร์จากบริษัท AgustaWestland และ Airbus(Eurocopter) คงจะเข้ามาในส่วนของฮ.ธุรการ
    สำหรับในส่วนของการลำเลียง Mi-17V-5 จากรัสเซียเข้ามาทดแทน CH-47D Chinook เป็นที่เรียบร้อย
    ลำดับต่อไปที่ต้องติดตามกันดูก็คือ เฮลิคอปเตอร์โจมตีจากประเทศใดจะมาทดแทนฮ.จ.1 AH-1F Cobra ของสหรัฐฯ
    ในส่วนของเครื่องบินลำเลียง บ.ล.8 C-130H ของสหรัฐฯ นั้น เครื่องบินลำใหม่ที่จะมาทดแทนอาจจะมาจากประเทศจีน
  • กองทัพเรือ เมื่อสองสามปีก่อนก็ปฏิเสธเรือฟริเกตมือสองชั้น Oliver Hazard Perry จำนวนสองลำไป (USS Rentz FFG46 และ USS Vendegrif FFG48)

ประเทศต่อมาก็เพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียนคือ ฟิลิปปินส์ ประกาศตัวชัดเจนแบบไม่ไว้หน้ากันเลย

ยังมีอีกประเทศหนึ่งในแถบเอเซียตะวันตก คือ สาธารณรัฐตุรกี ซึ่งบัดนี้ก็แปรเปลี่ยนท่าทีไปจากสหรัฐฯ สืบเนื่องจากการแทรงแซงการเมืองภายในของตุรกี

ปีใหม่นี้ก็คงต้องรอดูกันว่าประเทศสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของนายทรัมป์จะเป็นไปอย่างไรต่อไป จะยิ่งใหญ่ขึ้นมาอีกครั้ง ตามคำขวัญที่กล่าวไว้ตอนหาเสียงหรือไม่ คงต้องทิ้งท้ายแบบอเมริกันด้วยคำว่า "ขอให้พระเจ้าคุ้มครองอเมริกา"

--------------------------------------------------------------------------

ป.ล. ข้อมูลเพิ่มเติม สำหรับโรงเรียนทหาร (Military Academy) ในอเมริกานั้น จะมีนักเรียนแค่สองประเภท คือ
  1. นักเรียนที่ใฝ่ฝันต้องการเจริญเติบโตในสายการทหาร
  2. นักเรียนที่ถูกส่งมาอบรมบ่มนิสัย
หวังว่าคงจะเข้าใจตรงกันนะ

No comments:

Post a Comment