M110 (SASS) |
ก่อนที่จะเข้าเรื่องปืน Compact Semi-Automatic Sniper System (CSASS) ต้องย้อนไปกล่าวถึงโครงการปืน Semi-Automatic Sniper System (SASS) อันจะเป็นที่มาของปืน CSASS กันก่อน
ปืน SASS นี้เกิดขึ้นจากแนวคิดที่จะเพิ่มอำนาจการยิงให้กับพลแม่นปืนประจำหน่วยทหารราบ ซึ่งแม้ว่าแนวคิดนี้จะขัดกับหลักการของพลซุ่มยิงที่ต้องปกปิดอำพรางที่ตั้ง แต่ก็แลกได้มาซึ่งอำนาจการยิงที่เพิ่มขึ้น
อธิบายขยายความคือ ปกติพลซุ่มยิงจะใช้ปืนลูกเลื่อนแบบ M14 และ M24 ซึ่งหมายถึงการยิงหนึ่งนัดต่อหนึ่งเป้าหมาย หากยิงพลาดเป้าหมายสามารถหลบเข้าที่กำบังได้ แต่ปืน SASS สามารถเพิ่มอำนาจการยิงที่ต่อเนื่อง เป็นสามนัดต่อหนึ่งเป้าหมาย ทำให้สามารถยิงซ้ำในเป้าหมายที่ยิงพลาดได้เร็วกว่าปืนแบบลูกเลื่อน แต่กระสุนปืนกึ่งอัตโนมัติจะถูกคัดและปลิวกระเด็นออกจากรังเพลิงจะทำให้เป็นการเปิดเผยที่ตั้งยิงได้
ปืน M14 |
คุณลักษณะเด่นหลักๆ ของโครงการปืน SASS คือใช้กระสุน 7.62x51 มม. และต้องติดตั้งท่อเก็บเสียง
บริษัท KAC เป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงและไม่ใช่บริษัทหน้าใหม่ในวงการปืนไรเฟิล บ.Knight's เคยมีวิศวกรนักออกแบบผู้เป็นตำนานของวงการปืนไรเฟิล เขาผู้นั้นคือ Eugene Stoner (ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว)
Eugene Stoner คือผู้คิดค้นออกแบบปืน AR-10(Armalite Rifle 10) ขนาด 7.62x51 มม.ในปีพ.ศ.2500 และต่อมาปีพ.ศ.2502 ตัวเขาร่วมกับหัวหน้าผู้ช่วยฯอีกสองคนนำปืน AR-10 มาย่อแบบให้ใช้กับกระสุนปืนขนาด 5.56x45 มม.ให้ชื่อมันว่าปืน AR-15
ภายหลังบริษัท Fairchild Armalite ที่เขาทำงานอยู่ ประสบปัญหาด้านการเงินจึงขายแบบปืน AR-15 ให้กับบ. Colts และปีพ.ศ.2506 บริษัทโคลท์ก็ได้นำปืน AR-15 เสนอต่อกองทัพซึ่งก็กลายเป็นปืน M-16 นั้นเองในปีพ.ศ.2533 Eugene Stoner ได้ร่วมกับบ.KAC สร้างปืน SR-25(Stoner Rifle 25) จากพื้นฐานของปืน AR-10 แต่ออกแบบใหม่โดยชิ้นส่วนถึง 60% ของ SR-25 สามารถใช้แทนกันกับ AR-15 และ M16 ได้ สำหรับตัวเลข 25 เป็นการนำรหัสของ AR-15 และ AR-10 มารวมกัน
SR-25 ที่กองทัพไทยมีประจำการอยู่ |
Mk11 Mod 0 |
จนกระทั่งเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2548 (ปีเดียวกันที่ประกาศผู้ชนะโครงการปืน SASS) หน่วยนาวิกโยธินสหรัฐฯ ประกาศจัดหาปืน Mk11 Mod 0 แต่ใช้ชุด Upper Receiver ของปืน M110(SASS) จำนวน 180 กระบอกเพื่อใช้แทนปืน M40A3 ที่ไม่เหมาะสมกับสงครามในเมือง ดังเช่นสงครามในเมือง Ramadi และเมือง Fallujah ประเทศอิรัค ปีพ.ศ.2547 (ปืนชุดนี้เป็นที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า Mk11 Mod 1)
ปืน Mk11 Mod 1 |
ปีพ.ศ.2553 หน่วย SOCOM (United States Special Operations Command) กองทัพบกสหรัฐฯ ประกาศจัดหาปืนโครงการ SASS เข้าประจำการ มีมูลค่า $9.9 ล้านเหรียญ ให้ชื่อปืนเป็น M110 โดยหน่วยนาวิกโยธินสหรัฐฯ ก็จัดหาเข้าประจำในหน่วยแต่ใช้ชื่อ Mk11 Mod 2
ถึงจุดนี้จะเห็นว่าปืน Mk11 Mod 1 ซึ่งก็คือ "ปืน Mk11 Mod 0 แต่ใช้ชุด Upper Receiver ของปืน M110 " นั้นสิ้นสุดลง ไม่มีการผลิตอีก แต่บ.KAC อาจจะมีสต็อกเหลืออยู่บ้างจึงนำออกประกาศขาย
ประกาศขายปืน Mk11 Mod 1 ในปีพ.ศ.2552 จำนวน 50 กระบอก ราคา $8,508 |
ปืน M110 ถูกนำเข้าประจำการเพื่อเป็นทางเลือกอีกแบบสำหรับพลแม่นปืนประจำหมู่ทหารราบ นอกเหนือจากปืนลูกเลื่อน Remington M24 Sniper Weapon System (SWS)
Remington M24 SWS (Sniper Weapon System) |
คราวนี้ก็ถึงคิวของปืน CSASS ในปีพ.ศ. 2555 กองทัพบกสหรัฐฯ ได้ประกาศโครงการปืน Compact Semi-Automatic Sniper System (CSASS) เพื่อนำเข้าทดแทนปืน M110(SASS) โดยปิดรับแบบและข้อเสนอในเดือนตุลาคม พ.ศ.2557
แม้กระนั้นบ.Knight's Armament ก็ได้รับสัญญาสั่งซื้อปืน M110 เพิ่มเติมอีกเมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ.2555 มูลค่า 24,909,704 ล้านดอลล่าร์สำหรับปืน SASS จำนวน 1,005 กระบอก โดยกำหนดสิ้นสุดการส่งมอบคือวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ.2560
อย่างไรก็ดีเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2559 ที่ผ่านมาได้มีการประกาศผลออกมาแล้วว่าปืน HK CSASS ของบ. Heckler & Kock จะถูกจัดหาแทนปืน M110(SASS) ด้วยเหตุผลที่ว่ากองทัพบกต้องการปืนที่กระทัดรัดกว่า สั้นกว่า เบากว่า และเชื่อถือได้
สัญญาจัดซื้อครั้งนี้มีมูลค่า 44.5 ล้านดอลล่าร์สำหรับปืน CSASS จำนวน 3,643 กระบอก รวมทั้งอะไหล่และการบริการ โดยจะสั่งซื้อภายในระยะเวลาสองปีนับจากประกาศผู้ชนะ และกำหนดส่งมอบภายในห้าปี
ปืน HK CSASS มีพื้นฐานมาจากปืน HK G28 ขนาด 7.62x51 มม.นาโต้ ที่ปรับให้ตรงกับความต้องการของกองทัพบกสหรัฐฯ ซึ่งก็น่าจะคือปืน HK 417 ในรูปลักษณะสำหรับพลซุ่มยิง
HK G28 ในงาน gun show |
สำหรับสเปคฯ ของปืน HK CSASS นั้นยังไม่มีการเปิดเผยออกมา แต่จากการค้นข้อมูลในอินเตอร์เน็ทมีการกล่าวว่าปืนสั้นลงจาก 40.5 นิ้ว เหลือ 36 นิ้ว (สั้นลง 4.5 นิ้ว) และน้ำหนักเปล่าจาก 6.94 กิโลกรัมให้เหลือน้อยกว่า 4.1 กิโลกรัม (เบาขึ้น 2.84 กิโลกรัม) ส่วนรายละเอียดอย่างแท้จริงจะเป็นอย่างไรนั้น ต้องรอติดตามกันต่อไป
ส่งท้ายกันด้วย สรุปลำดับช่วงเวลาอย่างคร่าวๆ ภาพรวมของบทความได้ดังนี้
- พ.ศ.2543 - ปืน SR-25 เข้าประจำการในหน่วย SEAL ภายใต้ชื่อ Mk11 Mod 0
- พ.ศ.2547 - เปิดโครงการ SASS
- พ.ศ.2548 - ปืน M110 ชนะโครงการ SASS
- หน่วยนาวิกฯ จัดหาปืน Mk11 Mod 1 - พ.ศ.2553 - หน่วย SOCOM จัดหา M110
- หน่วยนาวิกฯ จัดหาปืน Mk11 Mod 2 - พ.ศ.2555 - กองทัพบกประกาศโครงการ CSASS
- พ.ศ.2557 - ประกาศเชิญชวนบริษัทต่างๆ ร่วมโครงการ CSASS
- พ.ศ.2559 - ปืน HK CSASS ของบ.Heckler & Kock เป็นผู้ชนะโครงการ
ซึ่งหากนับจากปีที่ SOCOM สั่งซื้อคือพ.ศ.2553 ไปถึงปีที่ประกาศโครงการ CSASS คือพ.ศ.2555 เป็นระยะเวลาเพียง 2-3 ปีเท่านั้นเอง ที่ปืน M110(SASS) เข้าประจำการก่อนจะมีประกาศคุณลักษณะใหม่ที่ต้องการ
และหากนับจากปีที่สั่งซื้อคือพ.ศ.2553 ไปจนถึงปีที่ประกาศผู้ชนะโครงการ CSASS คือพ.ศ.2559 ก็เป็นระยะเวลา 6-7 ปี ที่ปืน M110(SASS) เข้าประจำการก่อนจะถูกทดแทนด้วยปืนรุ่นใหม่
นับว่าช่วงชีวิตของปืน M110(SASS) ช่างสั้นเสียจริงๆ
สุดท้ายก็คงต้องชื่นชมผลิตภัณฑ์ของบ.Heckler & Kock ที่มีชื่อเสียง มีคุณภาพโดยได้รับความเชื่อถือไว้วางใจไปทั่วโลก จึงได้รับคัดเลือกเป็นผู้ชนะในโครงการ Compact Semi-Automatic Sniper System (CSASS)
No comments:
Post a Comment