บทความครั้งก่อนหน้านี้เป็นบทความเกี่ยวกับเรื่อง
CIWS
ระบบป้องกันตัวระยะประชิด
ก็ย้อนกลับไปหาอ่านกันได้ที่
http://monsoonphotonews.blogspot.com/2013/12/ciws.html
Barak I |
สำหรับวันนี้ก็เป็นเรื่องต่อเนื่องจากคราวที่แล้ว
เป็นเรื่องของระบบป้องกันตัวระยะประชิดแบบจรวด
ซึ่งได้กล่าวถึงไว้ในช่วงท้ายๆ
ของบทความครั้งก่อน
มาลองอ่านเรื่องราวกันดู
จรวด
Barak
I ของประเทศอิสราเอล
ได้ถูกออกแบบและสร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการนำมาใช้ทดแทนระบบป้องกันระยะประชิดอย่าง
Phalanx
ด้วยความอ่อนตัวกว่าและระยะป้องกันที่ไกลกว่า
มันสามารถต่อต้านอากาศยาน
จรวดต่อต้านเรือผิวน้ำ
และยานไร้คนขับ (UAV)
Barak
I คือจรวดความเร็วเหนือเสียง
เป็นระบบป้องกันทางอากาศระยะสั้นที่ปล่อยจรวดในแนวตั้ง(Vertically-launched)
ที่มีช่วงปฏิบัติการประมาณ
10
กม.หรือราว
6
ไมล์
จึงทำให้ระบบนี้จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับระบบ
- Simbad หรือ Sadral ของ Mistral
- Bofors RBS-70 ของ Saab ประเทศสวีเดน
จรวด VT1 ปล่อยจากแท่น Crotale NG |
และถึงแม้ระยะปฏิบัติการของ
Barak
จะน้อยกว่าของจรวดที่ปล่อยในแนวตั้งอื่นเช่นเดียวกันอย่าง
RIM-162
Evolved Sea Sparrow
แต่มันก็มีระยะใกล้เคียงกับคู่แข่งตัวอื่นๆ
ในตลาด เช่น RIM-116
ที่ปล่อยจรวดในแนวนอน
(Horizontally-fired)
และ Crotale
VT-1/NG ของฝรั่งเศส
แต่ด้วยคุณลักษณะที่สำคัญคือ
ท่อยิงแนวตั้งจำนวน 8
ท่อที่มีขนาดกระทัดรัดและมีน้ำหนักเพียง
1,700
กิโลกรัม
บวกกับ 1,300
กิโลกรัมของระบบควบคุมการยิง
จึงทำให้ Barak
I ง่ายต่อการติดตั้งบนเรือขนาดเล็ก
หรือติดเพิ่มเติมให้กับเรือที่มีอยู่ในประจำการ
SA-N7 |
ประเทศอินเดียได้ซื้อ
Barak
I มูลค่ามากกว่า
300
ล้านเหรียญ
เพื่อนำไปทดแทนระบบจรวดที่พัฒนาภายในประเทศ
“ตรีศูล” ที่ล่าช้า
อินเดียได้ติดตั้ง Barak
I บนเรือบรรทุกเครื่องบินลำแรก
INS
Viraat และเรือฟริเกตจรวดนำวิถีขนาด
3,850
ตันชั้น
Godavari
(Project 16) และชั้น
Brahmaputra
(Project 16A) รวมทั้งติดตั้งบนเรือพิฆาตขนาดระวาง
4,974
ตันชั้น
Rajput
อีกทั้งอยู่ในโครงการที่จะนำไปติดตั้งเพื่ออัพเกรดเรือพิฆาตขนาดระวาง
6,200
ตันชั้น
Delhi
แทนระบบรัสเซีย
SA-N-7C
‘Gollum’ (รุ่นส่งออกของ
3S90
"Shtil")
และเพื่อเป็นการให้ได้ประโยชน์ในการพัฒนาจรวดดังเช่นที่อินเดียเคยทำมาแล้วกับรัสเซียในโครงการจรวด
BrahMos
ในปี
2006
อินเดียจึงลงนามในข้อตกลงร่วมมือกันกับอิสราเอลในการพัฒนาโครงการ
Barak-NG/LR-SAM
หรืออีกชื่อหนึ่งคือ
Barak
II อันมีมูลค่าราว
350ล้านดอลล่าร์
โดยตั้งเป้าว่าจะให้จรวดไปได้ไกลจนถึงที่สุด
และตั้งใจจะทำให้มันเป็นจรวดแบบมาตรฐานของกองทัพเรืออินเดีย
ภายหลังโครงการนี้ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น
Barak
8 ซึ่งอินเดียมีข้อตกลงกับอิสราเอลในการถ่ายทอดเทคโนโลยี่และสายการผลิต
อันจะทำให้อินเดียสามารถสร้างและต่อยอดผลิตภัณฑ์ต่อไปได้
อิสราเอลประสบความสำเร็จในการทดสอบจรวด
Barak
8 เมื่อวันที่
30
กรกฎาคม
2009
คุณลักษณะของจรวด
Barak
8
- ความยาว 4.5 เมตร
- เส้นผ่าศูนย์กลาง 0.54 เมตร
- ปีกกว้าง 0.94 เมตร
- น้ำหนัก 275 ก.ก.(รวมหัวรบ 60 ก.ก.)
- ความเร็วสูงสุด 2 มัค
- ระยะปฏิบัติการ 70 ก.ม.
- dual-pulse solid rocket motor
- Active Seeker
จากระยะปฏิบัติการที่เพิ่มขึ้นทำให้
Barak
8 มีระยะทำการใกล้เคียงกับจรวด
RIM-162
Evolved Sea Sparrow หรือแม้แต่จรวด
SM-2
Standard ของสหรัฐฯ
SM-2 Standard ของสหรัฐ |
สำหรับประโยชน์ของเชื้อเพลิงแข็งแบบคู่นั้น
เชื้อเพลิงอันที่สองจะถูกจุดให้ทำงานเมื่อจรวดใกล้ถึงเป้าหมาย
ทำให้จรวดไม่อ่อนแรงในระยะสุดท้าย
และเพิ่มโอกาสในการจัดการเป้าหมายที่มีความรวดเร็วและคล่องแคล่วว่องไว
และสิ่งที่ทำให้
Barak
8 เหนือกว่า
SM-2
โดยไปใกล้เคียงกับระบบ
SM-6
นั่นก็คือ
“active
seeker” เพราะทำให้เรด้าห์ของเรือไม่ต้องทำการชี้เป้าตลอดเวลา
สามารถเปิดๆ ปิดๆ
ทั้งนี้เพื่อก่อกวนระบบจรวดต่อต้านเรด้าห์
(ARMs)
ของข้าศึกที่อาจโจมตีเข้ามา
อินเดียได้สั่งซื้อและนำจรวด
Barak
8 นี้ติดตั้งลงบนเรือพิฆาตติดอาวุธนำวิถีขนาดระวาง
6,800
ตันชั้น
Kolkata
(Project
15A)
Barak 8 |
แต่ปัญหาของอินเดียในขณะนี้ก็คือ
อินเดียเพิ่งจะพบว่า
ตนเองไม่มีวิศวกรในระบบราชการของรัฐบาลเพียงพอที่จะนำข้อมูลทางเทคนิคที่ได้รับการถ่ายทอดจากอิสราเอลส่งต่อให้กับโรงงานภายในประเทศได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง
นอกจากนี้บางบริษัทที่ทำการผลิตจรวด
Barak
8 นั้นก็ได้บิดเบือนหรืออาจไม่รู้ถึงขีดความสามารถของตน
ว่าไม่มีบุคลากรหรืออุปกรณ์ในการจัดการการผลิตส่วนประกอบของจรวด
Barak
8
ซึ่งถ้าหากอินเดียสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ
ทั้งหมดได้แล้ว จรวด Barak
8 ที่ผลิตในประเทศอินเดีย
ก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อย
เนื่องด้วยไทยได้มีข้อตกลงร่วมมือกับประเทศอินเดียอยู่ด้วย
ก็น่าจะเป็นประโยชน์กับประเทศไทยในการพัฒนาจรวดของเราในอนาคต
No comments:
Post a Comment