ได้มีการปรับปรุงสมรรถนะ
โดย MQ-1C
IGE (Improved Gray Eagle)
ได้เริ่มทดสอบบินในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
ยาน
MQ-1C
IGE นี้ได้ปรับปรุงเครื่องยนต์ให้ดีขึ้น
บรรจุเชื้อเพลิงได้มากขึ้นอีก
50%
ทำให้บินได้นานมากขึ้นจาก
30
ชั่วโมงเป็น53
ชั่วโมง
และบรรทุกน้ำหนักได้มากขึ้นจาก
372
กก.
เป็น
558
กก.
ลำตัวของยานได้รับการแก้ไขเพื่อให้รับภาระน้ำมันเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น
รวมทั้งมีความน่าเชื่อถือและสมรรถนะในการบินมากขึ้น
โดยลำตัวใหม่ทำให้มีพื้นที่สำหรับติดตั้งระบบนำร่องเพื่อป้องกันการชน
Traffic
Collision Avoidance System (TACS)
ทำให้ยานสามารถบินในพื้นที่ที่อากาศยานพลเรือนใช้งานอยู่
ยาน
MQ-1C
Block1 ในปัจจุบัน
น้ำหนัก 1.5
ต้น
บรรทุกตัวเซนเซอร์ระบบภายใน
135.4
ก.ก.
และสามารถบรรทุกตัวเซนเซอร์หรือระบบอาวุธภายนอกได้อีกจนถึงน้ำหนักที่
227.3
กก.
บินได้นาน
30
ชม.
ความเร็วสูงสุด
270
กม.ต่อชม.
ความยาวปีก
18
เมตร
ลำตัวยาว 9
เมตร
ยาน
MQ-1C
ฺBlock1
สามารถ
- บรรทุกจรวด Hellfire ได้ 4 ลูก (ยาน General Atomics MQ-1A Predator ของกองทัพอากาศสหรัฐ บรรทุกได้แค่ 2 ลูก)
MQ-1 Predator ของกองทัพอากาศสหรัฐ |
- หรือบรรทุกลูกจรวดนำวิถีขนาด 70 มม.จำนวน 12 ลูก
- MQ-1C มูลค่าลำละ $21ล้าน(ไม่รวมค่าค้นคว้าและพัฒนา)
- ขึ้นบินและลงจอดอัตโนมัติด้วยระบบซอฟแวร์
- ติดตั้งระบบพิสูจน์ฝ่ายแบบบูรณาการ ทหารภาคพื้นสามารถเห็นสิ่งที่ยานฯ เห็น
กองทัพบกสหรัฐใช้เวลา
8
ปีในการพัฒนา
MQ-1C
และทดสอบภาคสนาม
ก่อนจะได้รับการอนุญาตนำเข้าสายผลิตเต็มกำลัง
ซึ่งผลิตได้ราว 20
ลำต่อปีในเดือนมิถุนายน
2013
กองทัพบกได้มี
MQ-1C
อยู่แล้วจำนวน
65
ลำและด้วยงบประมาณที่จำกัด
อีกทั้งไม่มีสถานการณ์ร้ายแรงภายนอกหลังจากการถอนกำลังออกจากอัฟกานิสถานในปีหน้า
กองทัพบกสหรัฐวางแผนที่จะมี
MQ-1C
จำนวน
152ลำพร้อมสถานีควบคุมภาคพื้นดีน
31
สถานี
แต่ก็ไม่สามารถระบุชี้ชัดได้ว่า
MQ-1C
IGE จะผลิตจำนวนเท่าไร
หรือ MQ-1C
Block 1 จำนวนเท่าไรจะได้รับการปรับปรุงอัพเกรด
ยานไร้คนขับ
MQ-1C
หน่วยแรกของกองทัพบกสหรัฐได้ก่อตั้งขึ้นในปี
2009
โดยมีชื่อว่า
the
U.S. Army 160th SOAR (Special Operations Aviation
Regiment) ซึ่งอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ
SOCOM
(Special Operations Command) โดยถูกใช้ในการปฏิบัติการในอีรัค
ปี 2010
เป็นส่วนหนึ่งของการทดสอบขั้นสุดท้าย
หลังจากนั้นสหรัฐได้เริ่มส่งหมวด
MQ-1C
(หมวดหนึ่งมี
4
ลำ)
เข้าสู่อัฟกานิสถานในปี
2011
และเพิ่มเติมมากขึ้นอีก
กองทัพบกเดิมวางแผนจะให้ทุกกองพลรบมี
1
กองร้อย
MQ-1C(จำนวน
12
ลำ)
และจัดตั้งอีก
36
กองร้อย
แต่ก็ถูกลดอัตราให้เหลือแค่กองพลรบละหนึ่งกองร้อยเท่านั้น
ณ
เวลานี้ในแต่ละกองพลรบจะมี
mini
UAV จำนวน
35
ระบบบรรจุอยู่
โดยประกอบไปด้วย UAV
3 แบบ
ส่วนมากจะเป็น AeroVironment
RQ-11 Raven แต่ก็มีอีกไม่น้อยกว่า
10
ระบบที่เป็น
UAV
ขนาดใหญ่กว่า
คือ AeroVironment
RQ-20 Puma
RQ-20 Puma |
ซึ่งหมายความว่าในแต่กองพลรบมีเครื่อง
UAV
มากกว่าหนึ่งร้อยเครื่อง
แต่จะมีเครื่อง UAV
ขนาดใหญ่เพียงแค่
12
เครื่องเท่านั้นที่อยู่ในกองร้อย
UAV
คืออาจจะเป็น
RQ-7
Shadow จำนวน
8
เครื่อง
และ MQ-1C
จำนวน
4
เครื่อง
RQ-7 Shadow |
ปัจจุบันกองทัพบกสหรัฐมีเครื่อง
UAV
อยู่เกือบ
7,000
เครื่อง
มากกว่า 85เปอร์เซนต์เป็น
UAV
ขนาดเล็กคือ
Raven
และ
Puma
โดยกองทัพกำลังดำเนินการใช้จ่ายเงินที่หายากเพื่อตัวเซ็นเซอร์ใหม่สำหรับ
UAV
ที่มีอยู่
และอุปกรณ์ใหม่อื่น ๆ
เช่นเครื่องยนต์,
ปีก
ฯลฯ สำหรับเครื่อง Shadow
ปัญหาเรื่องงบประมาณทำให้กองทัพบกจะต้องทำให้
MQ-1C
และ
RQ-7
ที่มีอยู่สามารถปฏิบัติงานให้ได้จำนวนมากที่สุด
No comments:
Post a Comment